วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ

เนื้อหาในพระไตรปิฎกได้พูดถึงวิธีคิดต่าง ๆ ไว้มากมาย แต่ส่วนมากมิได้บอกตรง ๆ แต่จะแฝงอยู่ในความหมายระหว่างบรรทัดว่า เป็นการสอนวิธีคิดแบบนั้น ๆ เช่น สอนให้เข้าใจความไม่มีตัวตน โดยให้พิจารณาองค์ประกอบของร่างกายหรือที่เรียกว่าขันธ์ 5 วิธีสอนเช่นนี้กระตุ้นให้รู้จักคิดแยกแยะองค์ประกอบทีละส่วนๆ เพื่อให้เข้าใจ “ความจริงของสังคม” พระธรรมปิฎกได้ประมวลวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ ออกมาเป็น 10 วิธีคิดประกอบด้วย
1. คิดแบบปฏิจจสมุปบาท (Inter-dependent) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทฤษฎีวงแหวนหรือสัมพันธภาพ คือ คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย จะอธิบายว่า สิ่งต่าง ๆ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ตัวเหตุจะมีหลายองค์ประกอบ เมื่อกล่าวถึงสิ่งใดจะต้องอธิบายให้เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน พระพุทธเจ้าจะไม่อธิบายว่า อะไรเป็นเหตุของอะไรโดยตรง คือ ไม่บอกว่าอะไรคือ First cause แต่จะอธิบายในแง่ของปัจจัยที่เป็น Condition โดยอธิบายถึง Origin และ Because of ของสิ่งนั้น
2. คิดแบบขันธวิภังค์ (Analysis) เป็นการคิดแบบวิเคราะห์แยกแยะองค์ประกอบ ว่าคนประกอบด้วยขันธ์ 5 การแยกย่อยออกไปอย่างละเอียด เมื่อวิเคราะห์แล้ว จะเป็นอนัตตา คือ ไม่มีตัวตน เช่น ชะลอม ถ้าดึงส่วนประกอบออกทีละเส้นจนหมดก็จะไม่มีชะลอม
3. คิดแบบสามกระแส (Three Streams) คือคิดแบบไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) คือคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา เปรียบเหมือนน้ำ 3 สาย ที่ไหลออกจากน้ำตก น้ำที่ไหลนั้นไม่นิ่ง มีการเปลี่ยนแหลง น้ำจะมาใหม่อยู่ตลอดเวลา ชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนี้ เป็นอนิจจัง ถ้าเราศึกษาอย่างจริงจัง จะทำให้เข้าสภาวะสังคมว่ามันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีทฤษฎีนี้อยู่ในใจ จะไม่เกิดทุกข์ สามารถเท่าทันต่อกระแส
4. คิดแบบอริยสัจ 4 (Problem Solving) คิดแบบแก้ปัญหา/แก้ทุกข์ คือการพิจารณาทุกข์ (ปัญหามีอะไรบ้าง) สมุทัย (เหตุอยู่ที่ใด) นิโรธ (แนวทาง/เป้าหมายของการแก้ปัญหาที่ตั้งไว้) มรรค (พิจารณาวิธีการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย) ซึ่งเราสามารถใช้เป็นหลักยึดในการพิจารณาสิ่ง ต่าง ๆ ได้
5. คิดแบบคุณค่าแท้-เทียม (True & Artificial Value) คิดแบบรู้คุณค่าแท้-คุณค่าเทียม ตัวอย่างคือ ถ้าสามารถรู้คุณค่าเทียมของปัจจัย 4 ได้ จะทำให้ประหยัดเงินไปได้มาก เช่น เสื้อผ้าราคาแพง ใส่ 3 วัน ก็มีกลิ่นเหมือกับเสื้อผ้าราคาถูก จึงควรพิจารณาถึงคุณค่าที่แท้จริงด้วย
6. คิดแบบกุศลภาวนา (Moral Development) คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรมหรือชุความดี คือการบำเพ็ญความดี ซึ่งจะต้องกระทำให้ถึงที่สุด อย่าหยุดนิ่ง อย่าสันโดษในเรื่องทำความดี เวลาความเพียรต้องไม่ย่อท้อ เวลาศึกษาหาความรู้ ทำวิจัยต้องทุ่มเทเต็มที่ไม่เพิกเฉย (Ignore) หรือถือสันโดษ ในขณะทำงานหรือทำความดี
7. คิดแบบสามมิติ (Three Dimensions) คือการพิจารณาอะไรนั้น อย่าพิจารราเพียงด้านเดียว ต้องพิจารณาทั้งแม่ดี แม่เสีย และพิจารณา วิธีเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างปลอดภัย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พิจารณาทั้งคุณ-โทษ-ทางออก
8. คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ (Cause Effect Relation Theory) หรือทฤษฎีเสาสภา เป็นการคิดแบบสัตบุรุษ หรือมีสัปปุริสธรรม อันเป็นคุณสมบัติของคนดี คือให้รู้จักเหตุ (รู้หลักความจริง รู้กฎแห่งธรรมดา) รู้จักผล (รู้ความหมาย รู้ผลที่จะเกิดสืบเนื่องจากการกระทำ) รู้จักตน (รู้ฐานะ กำลังความสามารถ คุณธรรม เป็นต้น) รู้จักประมาณ (คือความพอดี) รู้จักกาล (รู้กาลเวลาอันเหมาะสม) รู้จักบริษัท (คือรู้จักชุมชนและที่ประชุม รู้กริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้น) และรู้จักบุคคล (รู้ความแตกต่างระหว่างบุคคลและรู้จักปฏิบัติต่อบุคคลนั้นด้วยดี) ก่อนที่จะทำงานอะไร
9. คิดแบบสติปัฏฐาน (Now Theory) หรือทฤษฎีจันทร์เพ็ญ คิดแบบอยู่ในปัจจุบัน แนวนี้ต้องมีวิปัสสนากรรมฐานเป็นเครื่องมือ เมื่อจะทำสิ่งใดต้องมีการตั้งสติ กำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง
10. คิดแบบวิภัชชวาท (Dialectic Theory) คือคิดแบบด้านแยกแยะประเด็นต่าง ๆ ไม่ทำแบบตาบอดคลำช้าง ที่มองแง่เดียว
ผู้เขียนมองว่า “คนเราเกิดมาปฏิเสธไม่ได้ว่าเชื่อตนเองมากที่สุด” พฤติกรรมแสดงเกิดจากระบบสั่งการของตนเองไม่มีใครสั่งแทนได้ แม้นจะสร้างมายามิติอย่างไรก็อยู่ภายใต้ระบบคิด (System Thinking) ของตนเอง (ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย) ที่ไม่เห็นด้วยแต่ต้องทำเพียงแต่มีอำนาจอะไรบางอย่างที่ครอบงำเท่านั้นเอง
ดังนั้นทุกคนต้องรู้จักคิด ไม่ใช่ปล่อย Cell สมองรอเพียงแต่การสั่งการ (เป็นคนไม่มีหัวคิด) การคิดแบบกระบวนการระบบล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดสัมมาทิฐิหรือความคิดที่ถูกต้อง อันเป็นก้าวสำคัญในการดำรงชีวิตบนทางายกลาง สรุปรวมความแล้วก็คือ คิดถูกทาง ถูกวิธี มีเหตุผล และ การคิดนั้นก่อให้เกิดการกระทำที่เป็นกุศล (อ้างในชัยวัตน์ ถิระพันธุ์, 2548)

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จิตวิทยาของนักบริหารในวง “ไพ่ป๊อกเด้ง”

ผู้เขียนขอนำเสนอถึงความเป็นนักบริหารเชิงจิตวิทยา....จากข้อสังเกต “นักบริหารหลายท่านชอบเล่นไผ่ด้วยวัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้น” ในที่นี้จะขอนำเสนอในการเล่น “ไพ่ป๊อกเด้ง”
ส่วนใหญ่ผู้บริหารมักจะยอมเป็นเจ้ามือ (เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมองค์กร)...โดยกลไกและวัตถุประสงค์ในทัศนของผู้เขียนดังนี้
1. ต้องการวัด “ความซื่อสัตย์ และความไว้วางใจกัน” ผู้บริหารมักแกล้งจ่ายเงินผิด ๆ ถูก ๆ กับลูกน้อง หรือ ลืมเก็บเงินกับลูกน้องเมื่อเกมจบลง (อ้างว่าเล่นไม่เป็น) ความเป็นจริงของสังคมแล้ว หารู้ไม่ว่าท่านกำลังเฝ้าดูพฤติกรรมองค์กรว่า “ใครบ้างที่ส่งเงินคืนเมื่อท่านจ่ายเกิน” บางคนก็คืนบอกว่าท่านจ่ายเงินเกิน...และบางนิ่งเฉยถือว่าท่านจ่ายผิดเอง “ใครบ้างที่แทงน้อยเมื่อได้เปรียบกลับบอกว่าแทงมาก” บางคนแทงน้อยบอกว่าแทงมากเมื่อไพ่ผู้บริหารล้ม และ “ใครบ้างที่จ่ายเองเมื่อลืมเก็บ” บางคนถึงผู้บริหารลืมเก็บเงินก็ส่งให้เองด้วยความเคารพกติกากลุ่ม ซึ่งสะท้อนให้ผู้บริหารทราบว่า “แต่ละคนมีความซื่อสัตย์แตกต่างกัน”
2. ต้องการวัด “ความภักดี และความเอื้ออาทรต่อกัน” จะสังเกตเห็นว่าในเกมการเล่น สมาชิกบางคนลุ้นให้ไพ่ผู้บริหารล้ม หรือให้แต้มไพ่น้อย (สาปแช่งให้ไพ่ล้ม) แสดงถึง “ความไม่หวังดี” เอาดีใส่ตัวและเห็นคนอื่นล้มละลายแล้วกลับดีใจออกหน้า ออกตา
3. ต้องการวัด “ความโลภ” ผู้บริหารจะสังเกตเห็นว่าบางคนมีความพอเพียงไม่โลภ (แทงแต่เพียงน้อยเพื่อความสัมพันธ์) บางคนแทงมาก เมื่อเสียยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น สะท้อนถึงการทำงานว่ามุ่งเป้าประสงค์ที่ผลลัพธ์แบบคุณภาพที่พอเพียง หรือ มุ่งเพื่องบประมาณ
4. บางครั้งยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้บริหารแกล้งเข้าห้องน้ำ “หมู่สมาชิกบางคนจะวางกลโกงในเกม” ด้วยเหตุผลว่า “ท่านไม่รู้หรอก” และในกลุ่มสมาชิกก็มีบางคนมาเรียนท่านว่ามีคนโกงท่าน สะท้อนให้เห็นว่า “พฤติกรรมองค์การ” มีทั้งคนที่คิดดีและคนที่คิดไม่ดี และคนที่ไม่รู้จักคิด สร้างปริมาณงานเป็นเพียงพิธีกรรม (บอกว่าทำงานหนัก)
โดยสรุปแนวคิดนี้เป็นแง่มุมหนึ่งของ "ทุนทางสังคม" (Putnam, 2000) เท่านั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในการบริหารคนในองค์การ (Organizational Behavior Management)
ผู้เขียน ได้เขียนขึ้นจากประสบการณ์การสังเกตพฤติกรรมของบุคคล กลุ่มบุคคลที่ผู้เขียนได้จากประสบการณ์ การที่จะอ้างอิงเชิงวิชาการจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กระบวนการเปลี่ยน "เปิง" องค์กร

“ประชาสังคม” เป็นกลไกการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการรวมกลุ่มเพื่อกระทำการในระดับกลุ่มหรือ องค์กร ถือได้ว่าประชาสังคมเป็นทุนทางสังคมด้านสุขภาวะที่สำคัญในการสร้างความชอบธรรมในสังคม “Legitimacy Capital” (Dryzek, 2000; Farazmand, 1999; Hanberger, 1997)
ในทัศนของผู้เขียน....เพื่อชี้ให้เห็นกระบวนการมีส่วนร่วมและการเป็นภาคีเครือข่าย ในขณะที่การขับเคลื่อนทางสังคมและวัฒนธรรมที่นำไปสู่การสร้างสุขภาวะนั้น ผู้เขียนมองว่าต้องอาศัยการมีส่วนร่วม การเป็นภาคีและการใช้ทุนทางสังคม (Social Capital) ผสมผสานกับกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้นั้นจะเน้นไปที่การลองผิดลองถูกร่วมกัน (Collective Experiment) โดยไม่ใช้การสั่งการ (Prescription) ซึ่งมนุษยชาติทุกยุคทุกสมัยไม่ชอบ และ “ความจริงของสังคม” สังคมมีการแบ่งชนชั้นทางสังคม การที่ Actor แต่ละ Actor จะแสดงออกหรือให้ข้อมูลข่าวสารอะไร แลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างไรนั้น ต้องอยู่ในพื้นที่ทางความคิดที่ Actor แต่ละ Actor คุ้นชิน
ส่วนการที่จะก้าวพ้นกรอบคิดเดิม ๆ ที่มีอยู่นั้น (อีสานเรียกว่า เปิงเดิม เช่น เปิงบ้านเดิม) คงทำได้ยาก เพราะยึดติดอยู่กับ Symbolic ของตัวตน (หัวโขนที่สวมไม่ยอมถอด) ดังนั้นเมื่อสถานภาพของกลุ่มบุคคลยังเป็นอุปสรรคในการสร้างวิสัยทัศน์ที่จะทำงานใหม่ (ใหญ่) ไม่ประสานกันด้วยความเคารพในความเป็นวัฒนธรรมไทยแล้วยังคงต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งการเคารพความมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันและให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อคาดหวังที่จะสร้าง “เปิง” ใหม่

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แมวไม่อยู่...หนูจะทำอะไร?

ผู้เขียนเคยได้ยิน "เรื่องเล่า" เมื่อตอนเด็ก ๆ และชอบสงสัยโน้นสงสัยนี้ไปเรื่อย ๆ พบคำผังเพยคำหนึ่งว่า "แมวไม่อยู่..หนูร่าเริง" เกิดความสงสัยมาตลอดว่า "ทำไมหนูร่าเริงเมื่อแมวไม่อยู่?" คำตอบคือ "เมื่อแมวไม่อยู่..หนูจะได้เป็นอิสระ" สะท้อนให้เห็นความจริงอย่างหนึ่งคือมนุษย์ชอบความเป็นอิสระ (Freedom) ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้การครอบงำ (Domination) ซึ่งก็เป็นไปตามแนวคิดทฤษฎีทางสังคมวิทยาของสำนัก Frankfurt School แต่พอมาถึงยุคปัจจุบันคำตอบกลับเปลี่ยนไป...แมวไม่อยู่ "หนูดีใจ" เพราะว่า "หนูได้ประโยชน์จากแมว" เพราะปัจจุบัน "แมวระบบทุนนิยม" มีอาหารกล่องให้กินอย่างดี ไม่ยอมกินหนู...หนูเลยไม่กลัวแมว...โดยเฉพาะแมวในแวดวง "ป๋า ๆ"...จึงเลี้ยง "หนู ๆ" ไว้ดูเล่นเป็นจำนวนมาก แม้นว่าจะถูกครอบงำหรือครอบครอง ก็ไม่กลัว...เพราะวัฒนธรรมของ "แมวกับหนู" เรารู้กัน...ดังนั้น..สิ่งใดก็ตามเกิดกระบวนการตอบโต้ ต่อรอง...และใช้ประโยชน์ร่วมกันแล้ว...จะเกิดสังคมสมดุล เกิดความสัมพันธ์อันดี "ทุนทางสังคม" ภายในองค์กรขึ้น...(Internalize social capital)...

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ความต้องการทุนนิยมและยอมปฏิเสธทุนทางสังคม

ผู้เขียน...มักเฝ้าระวังพฤติกรรมทางสังคมที่สะท้อนให้เห็นในประเด็น....ระบบทุนนิยมและวัฒนธรรมเทคโนโลยีความทันสมัยมีส่วนสำคัญที่ส่งผลให้ค่านิยมหรือคุณธรรมทางวัฒนธรรมของคนเสื่อมถอยลง การวางใจกันในสังคมลดต่ำลง ซึ่งแสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มบุคคลลดน้อยลงในสังคมสมัยใหม่ (Robert D. Putnam (1998-2000) สะท้อนให้เห็นถึงกลุ่มคนที่ชอบเรียกตัวเองว่าเป็นคนทันสมัย...กลับยอมขาดทุนทางสังคม...Fukuyama (1999) มองว่าทุนทางสังคมที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างเครือข่าย โดยอาศัยบรรทัดฐานความไว้วางใจ ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นสำคัญ ยังช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและใช้สันติวิธีมากขึ้น แหล่งของทุนทางสังคมดังกล่าวสะสมอยู่ภายใต้ความเป็นเพื่อนบ้านการเป็นอาสาสมัครรวมทั้งการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายการที่จะสร้างให้เกิดบรรทัดฐานที่ประกอบขึ้นเป็นทุนทางสังคมเพื่อให้แสดงปฏิบัติการต่อไปได้นั้น จำเป็นต้องชักนำให้เกิดความร่วมมือภายในกลุ่ม (เพื่อที่จะสร้างบรรทัดฐานการช่วยเหลือไว้วางใจกัน)

วัฒนธรรมหมู่มากลากไป

ผู้เขียนมีโอกาสได้อ่านตำราที่หลากหลายเลยหยิบมาฝาก....มนุษย์ถือว่าเป็น "ทุน" โดยเฉพาะ "ทุนทางสังคม" และบางครั้งทุนทางสังคมที่เป็น กฎเกณฑ์ ข้อระเบียบ บรรทัดฐานทางสังคมไม่สามารถควบคุมและอธิบายพฤติกรรมทางสังคมได้ด้วยสาเหตุ 2 ประการคือ 1) แปลความหมายเพื่อประโยชน์ของตนเอง และ 2) บรรทัดฐานทางสังคมขัดแย้งกันเอง ดังนั้นการศึกษาสังคมวัฒนธรรมโดยมุ่งทำความเข้าใจกับกฎระเบียบและบรรทัดฐานทางสังคมนั้น...ต้องพึงระวังการนิยามความหมายใหม่ของทุนทางสังคมที่หลากหลาย ตามสถานการณ์...มักจะให้ความหมายที่เป็นประโยชน์แก่พวกพ้องตนเอง...ส่งผลให้เป็นภัยที่คุกคามความมั่นคงของสถาบันรวมทั้งองค์กรด้วย (ยศ สันตสมบัติ, 2548)
การสร้างทุนทางสังคม (Social Capital) ในระบบสุขภาพนั้น ในระบบเดิมกระทรวงสาธารณสุขมีทุนทางสังคมที่สำคัญ คือผู้เชี่ยวชาญ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ประกอบกับ บุคลากรภาคประชาชนที่ได้รับการส่งเสริมให้เป็น อาสาสมัครสาธารณสุข และผู้สื่อข่าวสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นพลังทางสังคมที่สำคัญอย่างมากหากสร้างให้เกิดจิตสำนึกร่วมในการสร้างสุขภาพแก่สังคม โดยไม่แบ่งแยกชั้นวรรณ และระบบในอนาคตอาจจะต้องคำนึงถึงการลงทุนในการสร้างทุนทางสังคม (Social Investment) ในลักษณะใหม่ ไม่ใช่เพื่อใช้เขาเป็นเครื่องมือของระบบ แต่เป็นผู้ที่มีความคิดความสามารถ เป็น Actors หนึ่งของระบบ และสร้าง Civic Engagement ให้ทำเพื่อส่วนรวม เช่น การมองธุรกิจ ภาคเอกชน ที่ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของระบบไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลเอกชน health spa หรือ หมอพื้นบ้าน การแพทย์พื้นบ้าน นอกจากนั้น เครือข่ายทางสังคมอื่นๆ ก็ควรได้รับการยอมรับเข้ามาเป็นทุนทางสังคมที่สำคัญสำหรับระบบสุขภาพ เช่น เครือข่ายผู้ป่วยเฉพาะโรค (ซึ่งอาจเป็นผู้ให้ความรู้แก่สังคมต่อโรคนั้นได้ดี อยู่ในฐานะเป็น Health advocate ที่ช่วยในงาน Health promotion หรือ Health education ได้เป็นอย่างดี) หรือ เครือข่ายสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพ (ซึ่งอาจเป็นพลังผลักดันสำคัญให้เกิดการประสานร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพและเป็นการป้องกันภาวะเสี่ยงทางสุขภาพอีกด้วย) (สุวจี กู๊ด, 2547)